วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



           วิธีเลี้ยงปลาทอง ในตู้ อย่างไรไม่ให้ตาย


 
                                    วิธีเลี้ยงปลาทอง ในตู้ อย่างไรไม่ให้ตาย

    วิธีเลี้ยง
  1. ลี้ยงในจำนวนที่เหมาะสม โดยดูจากภาชนะที่ใช้เลี้ยง ตู้ที่นิยมเลี้ยงส่วนมากเป็นตู้ขนาด 60 ซ.ม. ( 24 นิ้ว ) จะใช้เลี้ยงปลาทองที่มีความยาว 3-4 ซ.ม. ประมาณ 7-8 ตัว และควรติดตั้งแอร์ปั้ม เพื่อเป็นการเพิ่มอากาศ ในตู้ปลา ถ้าหากแอร์ปั้มมีขนาดใหญ่ ตู้ปลาขนาด 60 ซ.ม. จะสามารถเลี้ยงได้ถึง 15-20 ตัว แต่ต้องคำนึงถึงระบบกรองน้ำด้วย เพราะปลายิ่งมากน้ำก็จะยิ่งสกปรกเร็ว
  2. การให้อาหาร การกินอาหารมากเกินไป ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการทำให้ปลาเสียการทรงตัว ดังนั้นการให้อาหารทีละน้อยๆ จึงเป็นเรื่องที่ดี ถ้าให้อาหารมากเกินไป ปลากินไม่หมดหรือกินไม่ทั่ว เศษอาหารที่จมลงพื้นตู้ หรือก้นบ่อ จะเริ่มทำให้น้ำสกปรก และอาการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ก็จะเริ่มตามมา โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงหน้าหนาว
  3. ระวังเรื่องคุณภาพน้ำที่แย่ลง และควรจะเปลี่ยนน้ำใหม่เมื่อเจอสภาพน้ำดังนี้
    • น้ำที่ขาวขุ่น
    • เกิดเป็นฟองขาวขึ้น ไม่ยอมแตกหายไป
    • ปลาทั้งหมดพร้อมใจลอยเชิดจมูกอยู่ตามผิวน้ำ
    • น้ำเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นอย่างกะทันหัน อาจเพราะแบคทีเรีย หรือแอมโมเนียในน้ำสูงเกินไป
ปลาทองหรือปลาเงินปลาทอง   มีชื่อสามัญว่า  Goldfish   เป็นปลาสวยงามน้ำจืดที่นิยมเลี้ยงมานานแล้ว  จัดเป็นปลาที่ติดตลาด   คือเป็นปลาที่มีจำหน่ายในร้านขายปลาสวยงามทุกร้านและสามารถขายได้ราคาดีตลอดปี   โดยทั่วไปจัดว่ามีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน   ซึ่งชาวจีนจะเรียกปลาทองที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติว่า Chi Yu  และเรียกปลาทองที่เลี้ยงอยู่ตามบ้านว่า Chin Chi Yu   ในประเทศญี่ปุ่น   ปลาทองได้รับความนิยมเลี้ยงกันอย่างมาก   และมีการพัฒนาวิธีการเพาะพันธุ์   มีการคัดเลือกปลาที่มีลักษณะเด่นต่างๆมาผสมพันธุ์กัน   ทำให้ได้ปลาทองที่มีลักษณะสวยงามขึ้นมาหลายชนิด   และได้รับความนิยมแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ
                ชาวจีนเป็นชาติแรกที่นิยมเลี้ยงปลาทอง  โดยปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมไม่มีความสวยงาม มากนัก   มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาไน   เพียงแต่ว่ามีสีสันสวยงามและสดกว่าปลาไน   
  
ภาพที่ 1  แสดงลักษณะปลาทองพันธุ์ดั้งเดิม (Wild Type)
                                               ที่มา : Coffey (1977)
               การเลี้ยงปลาทองได้รับความนิยมมากในระหว่างปี พ..  1243 - 1343   โดยชาวจีนในสมัยนั้นนิยมเลี้ยงปลาทองไว้ในสระน้ำในบริเวณรั้วบ้าน   ต่อมาในปี พ..  1716 - 1780  มีการนำปลาทองมาเลี้ยงในกรุงปักกิ่ง   โดยนิยมเลี้ยงในอ่างกระเบื้องเคลือบ   การเลี้ยงปลาทองเพื่อการจำหน่ายจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว   เริ่มมีการเพาะพันธุ์ปลาทองและได้พันธุ์ปลาแปลกๆมากขึ้น   ในปี พ.. 2043   จึงมีการนำปลาทองเข้าไปเลี้ยงในเมืองซาไก   ประเทศญี่ปุ่น   แต่ได้รับความสนใจมากในปี พ..  2230   สำหรับประเทศอื่นๆที่มีรายงานเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาทอง  ได้แก่
                ปี พ..  2234   ที่ประเทศอังกฤษ
                ปี พ..  2323   ที่ประเทศฝรั่งเศส
                ปี พ..  2419   ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
                สำหรับในประเทศไทยไม่มีหลักฐานแน่ชัด   แต่คาดว่าราวปี พ..  1911 - 2031

      
ภาพที่ 2  ลักษณะปลาทองที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในระยะแรกๆ(Common Goldfish)
                             ที่มา :  http://koiandfreshwaterfishblog.blogspot.com/ (ซ้าย)            
                                       http://petesfishplace.com/pages/ (กลาง)                           
                                               http://kidsaquariums.blogetery.com/ (ขวา)
                Frank (1969)  ได้จัดลำดับชั้นของปลาทองไว้ดังนี้
                Class                       :   Osteichthyes
                  Subclass               :   Teleostei
                    Order                  :   Cypriniformes
                      Suborder           :   Cyprinoidei (Carps)
                        Family             :   Cyprinidae
                          Genus           :   Carassius
                            Species       :   auratus                            
                                                                                                                                                
                 ปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในธรรมชาตินั้น มีรูปร่างคล้ายปลาไนแต่มีขนาดเล็กกว่าปลาไนมาก คือ เป็นปลาที่มีรูปร่างป้อม แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวลาด ปากมีขนาดเล็ก มีหนวดสั้น 2 คู่ ครีบหลังค่อนข้างยาว ครีบหางเป็นแฉกเว้าลึก ีลำตัวมีสีน้ำตาลคล้ำอมทองหรือสีส้ม ส่วนท้องสีจางกว่าลำตัว หรือสีขาว 
                 เนื่องจากมีการนำปลาทองไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ประกอบกับเป็นปลาที่ผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กับปลาในกลุ่มเดียวกันชนิดอื่นๆได้ง่าย ทำให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาทองชนิดใหม่ๆออกมาหลายชนิด มีลักษณะเด่นสวยงามแตกต่างกันไป ซึ่งลักษณะเด่นๆที่สำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ 
  • ครีบหาง เปลี่ยนแปลงจากหางแฉก หรือหางเดี่ยว เป็น หางพวง หรือหางคู่
  • ครีบก้น  เปลี่ยนแปลงจากครีบเดี่ยว เป็น ครีบคู่
  • ครีบหลัง บางชนิดจะไม่มีครีบหลัง
  • ส่วนหัว บางชนิดจะมีลักษณะที่พองออกเป็นวุ้น
  • ตา  บางชนิดมีกระบอกตาที่โป่งพองออก

   ภาพที่ 3  แสดงส่วนต่างๆและรูปร่างของปลาทอง

         
ภาพที่ 4  แสดงลักษณะปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ใหม่         
                               ที่มา http://goldfish.ornamental-fishes.com/ (ซ้าย)       
                                        http://kidsaquariums.blogetery.com/ (กลาง)         
                                        http://www.exoticgoldfish.net/breeds-oranda.html (ขวา)   
จากการที่มีการพัฒนาทางด้านการเพาะพันธุ์   มีการคัดเลือกลักษณะเด่นที่ต้องการ  แล้วนำมาเพาะพันธุ์ต่อมาเรื่อยๆ   ทำให้ได้ปลาทองที่มีลักษณะและสีสันสวยงามหลายแบบด้วยกัน   และมีการตั้งชื่อพันธุ์ต่างๆไว้ดังนี้
                4.1 ปลาทองที่มีหางเดี่ยว   อาจเรียกหางปลาทู  หรือหางแฉก (Fork  Tail)   ลักษณะหางเป็นแผ่นแบนกว้าง   เว้าตรงกลางหรือเป็น  2  แฉก   มีสายพันธุ์ที่นิยม  2  สายพันธุ์   คือ
4.1.1 พันธุ์โคเมท (Comet)   เป็นปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิม   หรือต้นตระกูลของปลาทอง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างแบนยาวคล้ายปลาไน   ลำตัวมักมีสีแดง   สีแดงสลับขาว   หรือสีทอง   ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยม

     
                              ภาพที่ 5  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์โคเมท
                                           ที่มา : http://koiandfreshwaterfishblog.blogspot.com/ (ซ้าย)
                                                    http://petesfishplace.com/pages/ (ขวา)

4.1.2 พันธุ์ชูบุงกิง (Shubunkin)    ลักษณะคล้ายพันธุ์โคเมท   แต่จะมีจุดประที่ลำตัวหลายสี   เช่น  สีแดง  สีขาว  สีม่วง  สีส้ม  และสีดำ   เกล็ดจะค่อนข้างใส   จัดเป็นปลาทองที่สวยงามมากชนิดหนึ่ง   เนื่องจากมีสีเด่นหลายสี   สดใส   ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนและมีการตั้งชื่อไว้หลายชื่อ  เช่น   Speckled  Goldfish ,  Harlequin  Goldfish ,  Vermilion  Goldfish  หรือ  Coronation  fish 
      
                               ภาพที่ 6  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ชูบุงกิง
                                             ที่มา : http://www.aquarticles.com/ (ซ้าย)
                                                     http://goldfish2care4.com/goldfish-types/ (ขวา)               

                4.2 ปลาทองที่มีหางคู่   คือมีส่วนหางแยกออกเป็น  3 - 4  แฉก   มีทั้งที่มีครีบหลังตามปกติ   หรือบางชนิดไม่มีครีบหลัง   มีที่ได้รับความนิยมหลายสายพันธุ์  ดังนี้
4.2.1 พันธุ์ออแรนดา (Oranda) สมัยก่อนมักเรียกฮอลันดา   หรือฮอลันดาหัวแดง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างยาว   มีครีบครบทุกครีบ   หางยาว   และมีลักษณะเด่นคือมีวุ้นที่ส่วนหัว (Hood) คล้ายพันธุ์หัวสิงห์   แต่มักไม่ขยายใหญ่เท่าหัวสิงห์   สีของวุ้นมักออกเป็นสีเหลืองส้ม   เป็นปลาทองที่มีขนาดใหญ่   และมีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง   สีของลำตัวมักออกสีขาวเงิน    ชาวญี่ปุ่นเรียก   Oranda  Shishigashira

      
ภาพที่ 7  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ออแรนดา
                                                  ที่มา : http://www.aquariumslife.com/ (ซ้าย)
4.2.2 พันธุ์ริวกิ้น (Ryukin  or  Veiltail )   ลักษณะเด่น  คือ   เป็นพันธุ์ที่มีหางค่อนข้างยาวเป็นพวงสวยงามเป็นพิเศษ   คล้ายริบบิ้นหรือผ้าแพร   ทำให้มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ  คือ  Fringetail ,  Ribbontail ,  Lacetail ,   Muslintail  และ  Japanese  Fantail   ในขณะที่ว่ายน้ำครีบหางจะบานเป็นสง่า   ลำตัวค่อนข้างกลมสั้น   และมักมีสีแดงสลับขาว  บางชนิดอาจมี 5 สี  เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก     

    
ภาพที่ 8  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ริวกิ้น

4.2.3 พันธุ์ตาโปน (Telescope-eyed  Goldfish)   อาจเรียก  Pop-eye  Goldfish   ชาวจีนนิยมเรียก  Dragon  Eyes   ชาวญี่ปุ่นเรียก  Aka  Demekin   ซึ่งแปลว่าตาโปนเช่นกัน   ลักษณะเด่นของพันธุ์  คือ  ลูกตาจะยื่นโปนออกมามากเหมือนท่อกล้องส่องทางไกล   พันธุ์ตาโปนที่นิยมเลี้ยงมี  5  ชนิด  คือ
             พันธุ์ตาโปนสีแดง (Red  Telescope-eyed  Goldfish)   มีสีแดงตลอดตัว   ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น
      
ภาพที่ 9  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาโปนสีแดงขาว
                                               ที่มา : http://www.nicaonline.com/new-168.html
               พันธุ์มัว (Moor)   หรือเล่ห์ (Black  Moor  or  Black  Telescope-eye  Goldfish)  เป็นพันธุ์ที่รู้จักดีในประเทศไทยในชื่อ เล่ห์ หรือ ลักเล่ห์  ลักษณะเด่น  คือ  ลำตัวมีสีดำสนิทตลอด  ตาจะไม่โปนมากนัก  ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Kuro  Demekin

          
ภาพที่ 10  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์เล่ห์
                                                        ที่มา : http://www.petgoldfish.net/gallery/ (ขวา)     
                                                                                                          
                  พันธุ์ตาโปนสามสี (Calico  Telescope-eye  Goldfish)   รู้จักกันดีในประเทศไทยว่าลักเล่ห์ห้าสี   เป็นพันธุ์ที่มีเกล็ดค่อนข้างบาง   ลำตัวมีสีสันหลายสีสดเข้มและมักมีเพียง  3  สี   แต่สีที่พบในพันธุ์นี้จะมี  5  สี  คือ  สีแดง  สีขาว  สีดำ  สีน้ำตาลออกเหลือง  และสีแดงออกม่วง   ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Sanshoku  Demekin

      
ภาพที่ 11  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาโปนสามสี
                                                            ที่มา : http://www.petgoldfish.net/gallery/ (ซ้าย)        
                                                            http://www.truaqua.com/ (ขวา)
                   พันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble  Eye  Goldfish)   ลักษณะเด่น  คือ  มีเบ้าตาพองออกคล้ายลูกโป่งทั้งสองข้าง   เวลาว่ายน้ำมักจะแกว่งไปมา   ลำตัวมักมีสีขาวหรือเหลืองแกมส้ม   มีทั้งที่มีครีบหลังและไม่มีครีบหลัง

      
ภาพที่ 12  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาลูกโป่งที่ไม่มีครีบหลัง
                                           ที่มา : http://fishkipedia.com/bubble-eye-goldfish/ (ซ้าย)     
                                                                http://fishkipedia.com/unique-goldfish-variant/ (ขวา)        
                   พันธุ์ตากลับ (Celestial  Goldfish)   ลักษณะเด่น  คือ  ตาที่โปนออกมาจะหงายกลับขึ้นข้างบน   ชาวจีนเรียกว่า   Shotengan   แปลว่าตามุ่งสวรรค์   หรือตาดูฟ้า   ต่อมาชาวญี่ปุ่นนำไปเลี้ยงและพัฒนาได้หางสั้นกว่าเดิม   เรียก  Demeranchu

    
ภาพที่ 13  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตากลับ
                                                      ที่มา : http://fishkipedia.com/unique-goldfish-variant/ (ซ้าย)
                                                                                http://www.bristol-aquarists.org.uk/goldfish/ (ขวา)

4.2.4 พันธุ์เกล็ดแก้ว (Pearl  Scale  Goldfish)   ลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมคล้ายลูกปิงปอง   ส่วนหัวเล็กมาก  หางยาว   ลักษณะเด่น คือ  มีเกล็ดนูนขึ้นมาต่างกับเกล็ดธรรมดาทั่วไปอย่างชัดเจน   สีของลำตัวมักมีสีขาว สีส้ม   และสีทอง     
    
ภาพที่ 14  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว
                                              ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/ (ซ้าย) 
                                                                   http://www.petgoldfish.net/pearlscale-goldfish.html (ขวา)
4.2.5 พันธุ์หัวสิงห์ (Lionhead  Goldfish  or  Ranchu)   ลักษณะเด่นของพันธุ์นี้คือ   ไม่มีครีบหลัง   หางสั้นและเป็นครีบคู่   ที่สำคัญคือ  ส่วนหัวจะมีก้อนวุ้นปกคลุมอยู่   ทำให้มีชื่อเรียกได้อีกหลายชื่อ   เช่น  Hooded  Goldfish ,  Buffalo-head  Goldfish   ส่วนในญี่ปุ่นเรียก  Ranchu   ในประเทศไทยเรียกกันโดยทั่วไปว่า หัวสิงห์”   เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน   และนิยมจัดประกวดกันเป็นประจำ   จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของปลาทอง (King  of  The  Goldfish)   มีอยู่หลายชนิดที่นิยมเลี้ยง  ได้แก่
                  สิงห์ญี่ปุ่น   เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด   ลักษณะทั่วไปคือ  ลำตัวค่อนข้างสั้นและส่วนหลังโค้งมนสวยงาม   สีของลำตัวเป็นสีส้มเข้มเหลือบทองต้องตา   วุ้นที่ส่วนหัวมีลักษณะเล็กละเอียดขนาดไล่เลี่ยกันและค่อนข้างหนา   ครีบหางสั้นและจะยกสูงขึ้นเกือบตั้งฉากกับลำตัว   ครีบก้นเป็นครีบคู่มีขนาดเท่ากัน
    
ภาพที่ 15  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์หัวสิงห์
                                                      ที่มา : http://fishkipedia.com/unique-goldfish-variant/(ขวา)
                  สิงห์จีน   เป็นพันธุ์ต้นตระกูลของหัวสิงห์   กำเนิดในจีน   ลำตัวค่อนข้างยาว   ส่วนหลังไม่โค้งมากนัก   หางค่อนข้างยาวอ่อนลู่   หัวค่อนข้างใหญ่และมีวุ้นดกหนากว่าสายพันธุ์อื่น   และทางด้านท้ายของวุ้นไม่ขรุขระ   ทำให้มองเหมือนหัวมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว   สีของลำตัวเป็นสีส้มแกมทองแต่ไม่สดมากนัก  

  ภาพที่ 16  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์จีน
                                                      ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/  (ซ้าย)   
                                                              http://www.bloggang.com/mainblog.php (ขวา)           
                   สิงห์หัวแดง  สิงห์ตันโจ  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น   แต่สีของลำตัวเป็นสีขาวเงิน   ส่วนหัวและวุ้นจะมีสีแดง

    
ภาพที่ 17  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์หัวแดง
                                                   ที่มา : สุรศักดิ์ (2538) (ซ้าย)
                   สิงห์ตามิด   ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น   แต่สีของลำตัวเป็นสีดำสนิทตลอดลำตัว   แม้กระทั่งวุ้นก็เป็นสีดำ   วุ้นค่อนข้างดกหนาจนปิดลูกตาแทบมองไม่เห็น 

            
ภาพที่ 18  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ตามิด
                                                                     ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/  (ซ้าย)   
                                                            http://www.bloggang.com/mainblog.php (ขวา)            
                   สิงห์ห้าส   ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์จีน   แต่มีสีบนลำตัว  5  สี   คือ  สีดำ  สีแดง  สีขาว สีน้ำเงิน  และสีเหลือง   เกล็ดค่อนข้างบางโปร่งใส

     
ภาพที่ 19  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ห้าสี
                                                     ที่มา : http://www.ninekaow.com/
                   สิงห์เงิน  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์หัวแดง   มีสีของลำตัวเป็นสีขาวเงิน   แต่ส่วนหัวและวุ้นจะมีสีเงินด้วย

    
ภาพที่ 20  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์เงิน
                                                      
                 สายพันธุ์อื่นๆ  ยังมีปลาทองอีกหลายสายพันธุ์ที่ผลิตขึ้นมาจากประเทศต่างๆ  โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเน้นผลิตปลาทองเพื่อการส่งออก  และค่อนข้างได้รับความนิยมจากตลาดต่างประเทศ ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ 
               
ภาพที่ 21  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์อื่นๆ
                            ที่มา : http://www.bossranchu.com/technic_fish/ranchu0312.html      

                การศึกษาความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองทำได้ไม่ยากนัก  ผู้เลี้ยงปลาโดยทั่วไปจะสามารถแยกเพศปลาทองได้   ผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาทอง   หากเข้าใจวิธีการแยกเพศปลาทองเป็นอย่างดี  ก็จะช่วยให้เลือกซื้อหรือจัดเตรียมปลาทองเพศผู้และเพศเมียตามจำนวนที่ต้องการได้
                ความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองนั้น   ถ้าจะดูจากลักษณะภายนอกของลำตัวแล้วจะไม่พบความแตกต่างกัน   การแยกเพศจะทำได้ก็ต่อเมื่อปลาสมบูรณ์เพศ  คือ  เป็นปลาโตเต็มวัยแล้ว   ซึ่งต้องเลี้ยงไว้ประมาณ  6 - 8  เดือน   เมื่อปลาสมบูรณ์เพศแล้วปลาเพศผู้จะเกิด   ตุ่มสิว (Pearl  Organ หรือ Nuptial Tubercles) ซึ่งเป็นตุ่มหรือจุดเล็กๆสีขาว   เกิดขึ้นบริเวณก้านครีบอันแรกของครีบอก   และบริเวณกระพุ้งแก้ม  ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะพอเห็นได้   และมักจะเกิดเด่นชัดเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ของปลาทอง   แต่ในช่วงนอกฤดูกาลผสมพันธุ์  เช่นในฤดูหนาว   หรือปลาไม่มีความพร้อมทางเพศ   ตุ่มสิวนี้จะมีขนาดเล็กสังเกตุได้ยาก   แต่ก็สามารถแยกเพศได้โดยการใช้มือลูบเบาๆที่ครีบอก   ถ้าเป็นปลาทองเพศผู้จะรู้สึกสากมือเนื่องจากมีตุ่มสิวดังกล่าว   แต่ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะรู้สึกว่าครีบอกนั้นจะลื่น   นอกจากนั้นถ้าปลามีความพร้อมในการผลมพันธุ์   คือปลาเพศเมียมีไข่แก่   และปลาเพศผู้มีน้ำเชื้อสมบูรณ์   ถ้าจับที่บริเวณท้องของเพศเมียจะรู้สึกว่าค่อนข้างนิ่ม   และที่ช่องเพศจะขยายตัวนูนสูงขึ้น   ส่วนปลาเพศผู้ถ้าลองรีดที่บริเวณท้องลงไปทางช่องเพศ   จะเห็นว่ามีน้ำเชื้อซึ่งเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมไหลออกมาเล็กน้อยได้

                
 ภาพที่ 22  แสดงบริเวณก้านครีบอันแรกที่จะเกิดตุ่มสิวในปลาทองเพศผู้        
                               ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php (ขวา)      

 ภาพที่ 23  แสดงบริเวณก้านครีบอันแรกและกระพุ้งแก้มที่จะเกิดตุ่มสิวในปลาทองเพศผู้        
                      ที่มา : http://www.flickr.com/photos/cfm/663680680/       

                  ปลาทองจัดว่าเป็นปลาที่ดำเนินการเพาะพันธุ์ได้อย่างง่ายๆ   โดยวิธีการเพาะแบบช่วยธรรมชาติ  ปกติปลาทองจะมีการแพร่พันธุ์วางไข่ในตู้กระจกหรือบ่อที่ใช้เลี้ยงอยู่แล้ว   ซึ่งมักจะไล่ผสมพันธุ์วางไข่ในตอนเช้าของวันถัดไปหลังจากที่ผู้เลี้ยงมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้   แต่ที่ผู้เลี้ยงไม่พบว่ามีลูกปลาทองเกิดขึ้นในตู้เลี้ยงปลา   เนื่องจากว่าปลาทองเป็นปลาที่ไข่ทิ้งไม่มีการดูแลรักษาไข่   เมื่อวางไข่แล้วก็จะหวนกลับมากินไข่ของตัวเองอีกด้วย   นอกจากนั้นปลาทองตัวอื่นๆหรือปลาชนิดอื่นที่เลี้ยงรวมอยู่ในตู้ด้วย   ก็จะคอยเก็บกินไข่ที่ออกมาด้วย  กว่าที่ไข่ที่เหลืออยู่จะฟักตัวออกมา   ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 - 3  วัน   ไข่ก็จะถูกปลาทยอยเก็บกินไปเกือบหมด   ส่วนไข่ที่รอดจากถูกกินจนตัวอ่อนฟักตัวออกมา   ตัวอ่อนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นอาหารที่ดีของปลาต่างๆอีก   เพราะลูกปลาจะมีขนาดพอๆกับลูกน้ำ   ทำให้ถูกจับกินไปจนหมดอย่างรวดเร็ว
                  ดังนั้นหากต้องการลูกปลาทองก็จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะให้ถูกต้อง   จึงจะได้ลูกปลาจำนวนมากตามต้องการ     การเพาะปลาทองจะทำได้ดี   คือ   ปลาวางไข่ง่าย   ตั้งแต่เดือนเมษายน  ถึง  เดือนกันยายน   โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
6.1 การเตรียมบ่อเพาะ   บ่อที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์   มีขนาดประมาณ  1 ตารางเมตร   ขัดล้างให้สะอาดด้วยแปรงและสบู่แล้วฉีดน้ำล้างหลายๆครั้ง   จากนั้นเตรียมน้ำใหม่ที่ระดับประมาณ  20 - 25  เซนติเมตร  นอกจากนั้นยังอาจใช้กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เซนติเมตรเป็นบ่อเพาะปลาทองก็ได้

    
ภาพที่ 24  แสดงลักษณะบ่อเพาะปลาทอง
6.2 การเตรียมรัง   ปลาทองเป็นปลาที่มีไข่ประเภทไข่ติด   พฤติกรรมการวางไข่นั้นปลาเพศผู้จะว่ายน้ำไล่ปลาเพศเมียไปเรื่อยๆ   ปลาเพศเมียเมื่อพร้อมจะวางไข่จะว่ายน้ำเข้าหาพรรณไม้น้ำตามริมน้ำ   แล้วปล่อยไข่ครั้งละ  10 - 20  ฟอง   ปลาเพศผู้ที่ว่ายน้ำตามมาก็จะปล่อยน้ำเชื้อตาม   ไข่จะได้รับการผสมพร้อมกันนั้นก็เกิดสารเหนียวที่เปลือกไข่   ทำให้ไข่เกาะติดอยู่ตามราก  ลำต้น  และใบของพรรณไม้น้ำ   ดังนั้นการเตรียมรังในบ่อเพาะปลาทอง  ควรเป็นรังที่ช่วยให้ไข่ติดได้ง่ายและมากที่สุด   คือต้องมีลักษณะเป็นฝอยนิ่มและค่อนข้างยาว   รังที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่รังที่ทำจากเชือกฟาง   โดยนำเชือกฟางสีใดก็ได้มาผูกเป็นกระจุก(คล้ายกับพู่ที่เชียร์ลีดเดอร์ใช้)   มีความยาวประมาณ  20  เซนติเมตร   แล้วฉีกให้เป็นฝอยโดยพยายามให้เป็นเส้นฝอยขนาดเล็กให้มากที่สุด   จากนั้นนำไปจุ่มในน้ำเดือดเพื่อให้เกิดความนุ่ม   แล้วทำกรอบไม้ (อาจใช้ท่อ เอสล่อน)ให้ลอยอยู่ผิวน้ำ   ขนาดเล็กกว่าบ่อเพาะเล็กน้อยเพื่อให้กรอบลอยอยู่บนผิวน้ำในบ่อได้ดี   นำรังมาผูกในกรอบไม้เพื่อให้รังลอยตัว   และรังจะกระจายตัวกัน   หากไม่ทำกรอบผูกรัง   รังจะถูกแรงลมที่เกิดจากเครื่องแอร์ปั๊ม   ทำให้รังลอยไปรวมเป็นกระจุกอยู่ริมบ่อ   ปลาจะวางไข่ที่รังได้ยาก   การทำให้รังกระจายตัวกัน  ช่วยให้ปลาสามารถวางไข่โดยกระจายไข่ตามรังที่จัดไว้ทุกรังได้เป็นอย่างดี
 
ภาพที่ 25  แสดงลักษณะพู่ทำจากเชือกฟางและรากผักตบชวาที่นิยมใช้เป็นรังในบ่อเพาะปลาทอง
6.3 การเตรียมพ่อแม่พันธุ์   คือการเลี้ยงและคัดปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์จากปลาที่เลี้ยงไว้รวมกัน   โดยจะต้องเน้นเป็นปลาที่มีไข่แก่และน้ำเชื้อดี   การที่จะเลี้ยงปลาทองให้มีไข่แก่และน้ำเชื้อได้ดีนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก   จากที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นการเลี้ยงปลาที่มีคุณภาพน้ำดีกว่าการเลี้ยงปลาแบบอื่นๆ   เนื่องจากมีระบบกรองน้ำที่ดี   ในสภาพน้ำที่ค่อนข้างดีปลาจะใช้อาหารที่ได้รับไปสำหรับการเจริญเติบโต   ส่วนการพัฒนาของระบบสืบพันธุ์จะเป็นไปอย่างช้าๆ   เมื่อใดที่คุณภาพน้ำเริ่มมีการสะสมของสิ่งหมักหมมต่างๆมากขึ้น   ปลาที่สมบูรณ์เพศแล้วจะเริ่มมีการพัฒนาระบบสืบพันธุ์มากขึ้น   เปรียบเทียบได้กับฤดูร้อนซึ่งน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติจะลดระดับลงเรื่อยๆน้ำจะมีการสะสมแร่ธาตุต่างๆมากขึ้น   ปลาจะใช้อาหารที่ได้รับเพื่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์   เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อการแพร่พันธุ์ในฤดูฝนที่จะมาถึง   ดังนั้นการเลี้ยงปลาทองเพื่อให้ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดีแทบทุกตัวพร้อมกัน   จึงต้องอาศัยการเลียนแบบธรรมชาติ  ซึ่งวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุด  คือ  การปรับปรุงระบบเครื่องกรองน้ำ   โดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องกรองน้ำแบบหม้อกรองในตู้  ซึ่งช่วยทำให้น้ำใสได้บ้างพอควรและเก็บตะกอนไว้ได้ด้วย   ล้างหม้อกรองประมาณ  3  วัน  ต่อครั้ง   และงดการเปลี่ยนถ่ายน้ำในตู้ปลาหรือบ่อเลี้ยงปลาโดยเด็ดขาด   หากจำเป็นต้องเติมน้ำเนื่องจากระดับน้ำลดลง   ควรเติมในช่วงเช้า  เพราะการเติมน้ำในตอนเย็นซึ่งอุณหภูมิเริ่มลดลง   และปลาได้รับน้ำใหม่อาจมีผลกระตุ้นให้ปลาไข่แก่บางตัววางไข่ในเช้าวันถัดไปได้   พ่อแม่พันธุ์ปลาทองที่จะนำมาใช้เพาะพันธุ์ควรมีอายุประมาณ  10  เดือน   นำมาเลี้ยงรวมกันเป็นเวลาประมาณ  30 - 50  วัน  ปลาทองที่คัดมาเลี้ยงแทบทุกตัวจะมีไข่แก่และน้ำเชื้อสมบูรณ์เหมือนกันแทบทุกตัว   ทำให้สะดวกที่จะคัดไปปล่อยลงบ่อเพาะ   และควรคัดไปปล่อยเวลาประมาณ  16.00  .
                ข้อควรพิจารณาในการเตรียมพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง   ควรหลีกเลี่ยงปลาในครอกเดียวกันเพื่อป้องกันการผสมเลือดชิด

 
ภาพที่ 26  แสดงลักษณะการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทองในถังไฟเบอร์
6.4 จำนวนปลาและสัดส่วนเพศ   การปล่อยปลาลงบ่อเพาะแต่ละบ่อควรปล่อยปลาเพียงบ่อละ  1  คู่   หรือใช้ปลาเพศเมีย  1  ตัว  กับปลาเพศผู้  2  ตัว   เนื่องจากการใช้ปลามากกว่า  1  คู่ นั้น   ในขณะที่ปลาเพศเมียตัวที่พร้อมจะวางไข่ถูกปลาเพศผู้ว่ายน้ำไล่ไปนั้น   จะถูกปลาตัวอื่นๆคอยรบกวนโดยว่ายน้ำติดตามกันไปหมดทุกตัว  เพราะปลาเหล่านั้นต้องการตามไปกินไข่ของแม่ปลาที่จะปล่อยออกมา   การปล่อยปลาหลายคู่จึงกลับกลายเป็นข้อเสีย   ดังนั้นการปล่อยปลาเพียงบ่อละคู่จะทำให้ไข่มีอัตราการผสมค่อนข้างดี   และได้จำนวนมาก  

 
ภาพที่ 27  ลักษณะของพ่อแม่ปลาทองที่คัดปล่อยลงบ่อเพาะ
6.5 การเพิ่มน้ำและลม   หากต้องการให้ปลาได้รับการกระตุ้นและเกิดการวางไข่อย่างแน่นอน   ควรจะมีการให้ลมเพื่อให้น้ำเกิดการหมุนเวียนแรงพอสมควร   นอกจากนั้นถ้าหากสามารถทำให้เกิดกระแสน้ำ   หรือทำให้เกิดฝนเทียม   ก็จะทำให้ปลาวางไข่ได้ง่ายขึ้น   ฉนั้นบ่อเพาะที่ดีจะต้องมีระบบน้ำล้นที่ดีด้วย
6.6 การวางไข่ของปลา   ถ้าหากคัดปลาได้ดี  คือ  ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดี   ปลาจะผสมพันธุ์วางไข่ตอนรุ่งเช้าของวันถัดไป   หากปลายังไม่วางไข่จะปล่อยพ่อแม่ปลาไว้อีก  1  คืน   แต่ถ้าเช้าวันถัดไปปลาก็ยังไม่วางไข่  แสดงว่าผู้เพาะคัดปลาไม่ถูกต้อง   คือปลาเพศเมียที่คัดมาเพาะมีรังไข่ยังไม่แก่จัดพอที่จะวางไข่ได้   จะต้องปล่อยพ่อแม่ปลาที่คัดมาเพาะกลับคืนลงบ่อเลี้ยง   แต่ถ้าปลาวางไข่จะสังเกตได้ว่าน้ำในบ่อเพาะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป   โดยมักจะเกิดเมือกเป็นฟองตามผิวน้ำและรัง   เมื่อพิจารณาที่รังจะเห็นว่ามีไข่ปลาทอง   มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆสีเหลืองอ่อนค่อนข้างใส   เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  1  มิลลิเมตรติดอยู่ตามเส้นเชือกภายในรัง   เม็ดไข่ที่ดูใสนี้แสดงว่าเป็นไข่ที่ได้รับการผสมหรือไข่ดี   และจะมีเม็ดไข่ที่สีขุ่นขาวซึ่งเป็นไข่ที่ไม่ได้รับการผสมหรือเป็นไข่เสีย

ภาพที่ 28  แสดงลักษณะไข่ปลาทองที่ติดอยู่ที่รากผักตบชวา      
                                                         ไข่ดีจะใส ส่วนไข่เสียจะสีขุ่นขาว
                เมื่อประสบผลสำเร็จในการเพาะปลาทองหรือสามารถทำให้ปลาทองวางไข่ได้แล้ว   ขั้นตอนต่อไปคือการฟักไข่   ซึ่งอาจใช้บ่อเพาะเป็นบ่อฟักไข่ได้เลย   โดยการช้อนเอาพ่อแม่ปลาออก   จากนั้นเพิ่มระดับน้ำเป็น  30 - 40  เซนติเมตร   เปิดแอร์ปั๊มเพื่อให้ออกซิเจนและเกิดการหมุนเวียนน้ำตลอดเวลา   และถ้าสามารถเพิ่มน้ำใหม่ทำให้มีการระบายน้ำด้วย   จะช่วยไล่ความคาวที่เกิดขึ้นระหว่างการพัฒนาของไข่ออกไปเรื่อยๆ   จะทำให้ไข่ปลาทองฟักตัวได้ดีไม่ค่อยมีการติดเชื้อ   แต่ต้องใส่ผ้ากรองกันไว้ที่ทางออกของท่อน้ำล้น   เพื่อกันลูกปลาที่ฟักตัวออกจากไข่ไม่ให้ไหลไปตามน้ำ   แม่ปลา  1  ตัวจะสามารถวางไข่ได้ครั้งละ  1,000 - 3,000  ฟอง   ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ  48 - 56  ชั่วโมง ( 2 - 3  วัน )   ลูกปลาที่ฟักตัวออกจากไข่แล้วมักจะเกาะอยู่ที่รัง   หรือว่ายน้ำออกไปเกาะอยู่ที่ผนังบ่อ   รอจนเช้าวันที่ 4 หลังจากที่ปลาวางไข่จึงค่อยๆเขย่ารังเพื่อไล่ลูกปลาออกจากรัง  แล้วปลดรังออก

 
ภาพที่ 29  ลักษณะของลูกปลาทองที่ฟักออกจากไข่แต่ยังมีถุงอาหารอยู่  ยังไม่ว่ายน้ำจะเกาะอยู่ที่ผนัง 
                                                              
                บ่อที่จะใช้สำหรับอนุบาลลูกปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์   ขนาด  4 - 10  ตารางเมตร   มีความลึกประมาณ  40 - 50  เซนติเมตร   เป็นบ่อที่สามารถถ่ายเทน้ำได้อย่างดี   โดยเฉพาะถ้าสามารถปรับระบบน้ำไหลได้จะทำให้ลูกปลามีความแข็งแรงมาก   เจริญเติบโตรวดเร็วและมีอัตรารอดดี   เพราะการระบายน้ำจะช่วยระบายของเสียหรือสิ่งขับถ่ายของลูกปลาออกไปได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกปลาเติบโตเร็วก็คือ   การระบายน้ำและการเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำทุกวัน 
                การเลี้ยงลูกปลาทองหรือการอนุบาลจำเป็นต้องอาศัยสังเกตุเป็นหลัก   การจะกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนกระทำได้ยาก   เริ่มจากลูกปลาที่ฟักออกจากไข่   ในช่วงแรกจะมีถุงอาหาร (Yolk  Sac) ติดอยู่ที่หน้าท้อง   ลูกปลาจะยังไม่กินอาหาร   สังเกตุได้จากการที่ลูกปลาจะเกาะอยู่ที่รังหรือผนังบ่อ   เมื่อลูกปลาใช้อาหารจากถุงอาหารหมดแล้ว   ลูกปลาจึงจะว่ายน้ำตามแนวระดับไปเรื่อยๆเพื่อหาอาหารกิน   ควรดำเนินการให้อาหารดังนี้
8.1 ช่วงแรก   เนื่องจากปลาทองเป็นปลาที่กินอาหารได้แทบทุกชนิด   จัดว่าเป็นปลาที่กินอาหารได้ง่าย    จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารที่มีชีวิตในการอนุบาลลูกปลาทอง   การอนุบาลลูกปลาทองเลือกใช้อาหารได้ดังนี้
               ไข่ต้ม   ใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดต้มสุก   แล้วเอาเฉพาะไข่แดงไปขยี้น้ำผ่านผ้าไนล่อนหรือกระชอน  จะได้น้ำไข่แดงเหมือนน้ำตะกอน  นำไปสาดให้ปลากิน   ควรใช้ไข่แดงเลี้ยงลูกปลาเป็นเวลา  3  วัน   ลูกปลาจะเคยชินกับการกินอาหารและกินอาหารเก่ง   ขนาดของลูกปลาก็จะโตขึ้นอย่างเด่นชัด
    
ภาพที่ 30  ลักษณะของลูกปลาทองที่ยังไม่ได้กินอาหาร (ซ้าย)
                                              กับที่ได้กินไข่ต้มแล้วที่ส่วนท้องจะมีสีขาว (ขวา)  

  
ภาพที่ 31  แสดงการใช้ไข่แดง
ขยี้ผ่านผ้าขาวบางเพื่อใช้เป็นอาหารเลี้ยงลูกปลาทอง  
                 อาหารผง   ใช้อาหารผงอนุบาลลูกปลาดุก   ใช้ให้ต่อจากการใช้ไข่ต้มได้เลย   โดยในช่วงแรกควรให้โดยโปรยลงบนผิวน้ำ   อาหารจะค่อยๆจมตัวลง   เลี้ยงต่อไปอีกประมาณ  5  วัน  จากนั้นควรเปลี่ยนวิธีให้จากการโปรยอาหารลงผิวน้ำ   เป็นนำอาหารผงมาคลุกน้ำพอหมาดๆ   อาหารพวกนี้จะมีคุณสมบัติในการปั้นก้อนได้ดี   แล้วจึงนำไปให้ปลา   ลูกปลาก็จะมาตอดกินอาหารได้เอง
                สำหรับในเรื่องของปริมาณอาหารที่จะให้ปลานั้น   เนื่องจากลูกปลามีขนาดเล็กมากการกำหนดปริมาณอาหารเป็นจำนวนตายตัวนั้นค่อนข้างยาก   เช่นการใช้ไข่แดง   ปริมาณที่จะให้แต่ละมื้อจะใช้ประมาณเท่าเมล็ดถั่วแดงต่อลูกปลาที่เกิดจากแม่ปลา  1  แม่  ผู้เลี้ยงต้องอาศัยการสังเกตและการเอาใจใส่ค่อนข้างมาก  การให้อาหารมากเกินไปจะทำให้น้ำเน่าเสีย   ลูกปลาจะยิ่งเติบโตช้าและมักจะติดเชื้อเกิดโรคระบาดตายเกือบหมด   แต่ถ้าน้อยเกินไปลูกปลาก็จะโตช้าและมักจะมีขนาดแตกต่างกันอย่างมาก   โดยจะมีลูกปลาขนาดโตไม่กี่ตัว   วิธีการกะปริมาณอาหารที่ดีคือ   ผู้เลี้ยงจะต้องดูจากตัวลูกปลาภายหลังจากที่ให้อาหารไปแล้วประมาณ  15 - 20  นาที   ใช้แก้วน้ำตักลูกปลาขึ้นมาดู   ถ้าเป็นช่วงที่ให้ไข่แดงเป็นอาหาร   จะเห็นว่าที่บริเวณท้องของลูกปลาจะมีสีขาว   ถ้าเป็นอาหารผงท้องจะเป็นแนวดำ   ดังนั้นถ้าเห็นว่าลูกปลาทุกตัวมีอาหารที่บริเวณท้องเป็นแนวยาวตลอด   ก็แสดงว่าอาหารพอ   แต่ถ้าเห็นว่าลูกปลาบางส่วนมีอาหารที่ท้องอยู่น้อยก็แสดงว่าอาหารไม่เพียงพอ   ควรให้อาหารเพิ่มอีก
                หมายเหตุ   ช่วงนี้ควรให้อาหารวันละ  3  ครั้ง  คือ  เช้า   กลางวัน  และเย็น
8.2 ช่วงหลัง   ถึงแม้ลูกปลาจะกินอาหารผงได้ดี   แต่อาหารผงก็มีข้อเสียที่มักมีการแตกตัวและกระจายตัวได้ง่าย   ซึ่งเป็นบ่อเกิดของน้ำเสีย   ดังนั้นเมื่ออนุบาลลูกปลาในช่วงแรกด้วยไข่และอาหารผง   เป็นเวลาประมาณ  15  วัน   ก็ควรจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำโดยใช้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกปลาดุกเล็กระยะแรก   ให้ลูกปลาได้เลยจะเห็นว่าอาหารจะลอยตัวอยู่ผิวน้ำ   จากนั้นประมาณ  15 - 20  นาที อาหารจะพองขยายตัวขึ้นและนิ่ม   ในวันแรกลูกปลาจะยังไม่เคยชินกับอาหารลอยน้ำ   ฉนั้นให้ใช้นิ้วบีบอาหารที่ลอยอยู่บางส่วนให้จมตัวลง  และมีอาหารลอยน้ำเหลืออยู่บ้าง   ทำเช่นนี้ประมาณ  3  วัน ลูกปลาจะเคยชินกับการกินอาหารเม็ดลอยน้ำได้ดี     
            ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญ  คือ  การทำความสะอาดบ่ออนุบาล   โดยเฉพาะในการอนุบาลช่วงแรก   ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไข่แดงหรืออาหารผงให้เป็นอาหารลูกปลา   ทั้งไข่แดงและอาหารผงจะเหลือตกตะกอนเป็นเมือกอยู่ที่พื้นก้นบ่อเป็นประจำทุกวัน   ดังนั้นหลังจากให้อาหารเช้าแล้วประมาณ  1  ชั่วโมง   ควรทำความสะอาดผนังและพื้นก้นบ่อ   โดยใช้ฟองน้ำค่อยๆลูบไปตามผนังและพื้นก้นบ่อให้ทั่ว  ถ้าเป็นบ่อที่มีระบบกรองที่ดี  ตะกอนเมือกที่ถูกขัดออกมาก็จะถูกขจัดออกได้โดยง่าย  
ภาพที่ 32  แสดงลักษณะของบ่ออนุบาลลูกปลาทองที่เหมาะสม  
                    เป็นการเลี้ยงเพื่อให้ปลาทองมีขนาดใหญ่เหมาะสมที่จะส่งตลาดต่อไป   บ่อเลี้ยงปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์   มีขนาด  2 - 4  ตารางเมตร   และควรมีจำนวนหลายบ่อ   หากต้องการให้   ปลาเจริญเติบโตเร็วจะต้องจำกัดจำนวนปลาที่ปล่อยเลี้ยง   โดยปล่อยในอัตรา  50  ตัว  ต่อพื้นที่ 1  ตารางเมตร   ควรทยอยคัดปลาจากบ่ออนุบาลมาปล่อยลงบ่อเลี้ยง   จากนั้นเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดประมาณ  40 - 60  วันปลาจะเติบโตจนสามารถส่งจำหน่ายได้   เมื่อส่งปลาออกจำหน่ายแล้วก็ทยอยคัดปลาจากบ่ออนุบาลมาปล่อยเลี้ยงอีกต่อไป   สำหรับลูกปลาที่เหลืออยู่ในบ่ออนุบาลซึ่งมีเป็นจำนวนมาก   ถึงแม้จะมีการให้อาหารดีและมีการถ่ายน้ำสม่ำเสมอ   ลูกปลาก็จะเจริญเติบโตขึ้นไม่มากนัก   เนื่องจากจำนวนปลาเป็นข้อจำกัด   แต่เมื่อถูกกระจายออกไปยังบ่อเลี้ยงก็จะสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้
            ปัจจุบันมีการอนุบาลและเลี้ยงปลาทองในบ่อดิน  โดยใช้บ่อขนาด 100 - 200 ตารางเมตร

    
 ภาพที่ 33  แสดงลักษณะของบ่อดินที่ใช้อนุบาลและเลี้ยงปลาทองที่อำเภอบ้านโป่ง 

   
    
 ภาพที่ 34  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาทองในประเทศจีน 
                                                        ที่มา : http://www.oufish.com/                          
       
 ภาพที่ 35  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาทอง( Koriyama goldfish farm )ในประเทศญี่ปุ่น 
                                     ที่มา : http://www.panoramio.com/photo/1607893                          

    
 ภาพที่ 36  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาทอง( Siamaquarium )ในประเทศไทย 
                                           ที่มา : http://www.siamaquarium.com/web/                          

                                                                                                                        
10 ชนิดปลาที่ดำเนินการเพาะพันธุ์เช่นเดียวกับปลาทอง   
                        มีปลาสวยงามที่สำคัญอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถดำเนินการเพาะพันธุ์และการอนุบาลลูกปลาได้เช่นเดียวกับปลาทอง   ปลาสวยงามดังกล่าวคือ  ปลาคาร์พ  หรือ  ปลาแฟนซีคาร์พ   ซึ่งเป็นปลาที่มีการจัดลำดับชั้นอยู่ในวงศ์เดียวกันกับปลาทอง   และมีต้นตระกูลคล้ายกันมาก   การจัดการบ่อเพาะ   การเตรียมรัง   การคัดเพศ  และการจัดสัดส่วนเพศในการเพาะพันธุ์ปลาคาร์พ   กระทำคล้ายคลึงกับการเพาะปลาทอง   ต่างกันตรงที่บ่อเพาะปลาคาร์พจะมีขนาดใหญ่กว่าบ่อเพาะปลาทองค่อนข้างมาก   เนื่องจากพ่อแม่พันธุ์ปลาคาร์พจะมีขนาดใหญ่กว่าปลาทองมาก   และการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่ปลาคาร์พ  1  ตัวจะให้ไข่เป็นจำนวนมาก   ตั้งแต่  20,000 - 50,000  ฟอง   การใช้บ่อเพาะที่มีขนาดเล็กเกินไป   จะทำให้ไข่มีการผสมต่ำเพราะความคาวที่เกิดขึ้น   ขนาดของบ่อเพาะที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง  6 - 12  ตารางเมตร   สำหรับการแยกเพศของปลาคาร์พนั้นก็อาศัยความแตกต่างของตุ่มสิวเช่นกัน    ซึ่งตุ่มสิวของปลาคาร์พเพศผู้จะมีขนาดเล็กมาก     ไม่สามารถสังเกตุเห็นได้ด้วยตาเปล่าเหมือนกับของปลาทองเพศผู้   จะต้องใช้มือลูบสัมผัสที่บริเวณครีบหู   ซึ่งจะรู้สึกถึงความสากของตุ่มสิวที่มีได้อย่างชัดเจน   คือที่ครีบหูของปลาคาร์พเพศผู้จะมีความสากเนื่องจากตุ่มสิวที่มีอย่างชัดเจน   ส่วนครีบหูของปลาคาร์พเพศเมียจะลื่นมือเนื่องจากไม่มีตุ่มสิวเกิดขึ้น   โดยเฉพาะปลาคาร์พเพศผู้ที่มีความพร้อมในการผสมพันธุ์   ถ้าลองรีดที่บริเวณท้องเพียงเบาๆก็จะมีน้ำเชื้อสีขาวขุ่นไหลออกมาง่ายดายกว่าในปลาทองมาก   นอกจากนั้นปลาคาร์พเพศเมียที่มีรังไข่สมบูรณ์จะสามารถสังเกตุจากการขยายตัวของส่วนท้องได้ชัดเจน   ส่วนท้องจะค่อนข้างนิ่มและช่องเพศจะมีการขยายตัวนูนออกอย่างเด่นชัด   ส่วนการจัดการด้านอื่นๆตลอดจนการอนุบาลลูกปลาช่วงแรก  จะดำเนินการเช่นเดียวกับการอนุบาลลูกปลาทอง   แต่เมื่ออนุบาลลูกปลาช่วงแรกเป็นเวลาประมาณ  5 - 10  วันแล้ว   ควรปล่อยลูกปลาลงบ่อดินขนาด  200 -600  ตารางเมตร   หรืออนุบาลในบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่  ประมาณ  40 - 50  ตารางเมตร   เนื่องจากลูกปลามีปริมาณมาก   จึงจะทำให้ลูกปลาเจริญเติบโตดี

     
ภาพที่ 37  แสดงลักษณะปลาแฟนซีคาร์พสายพันธุ์ต่างๆ
                                                   ที่มา : http://www.koi-carps.com/enkaprkoi.php

   
 ภาพที่ 38  แสดงลักษณะบ่อเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์พ
    
 ภาพที่ 39  ฟาร์มเพาะเลี้ยงปลาคาร์พในประเทศญี่ปุ่น 
                                                      ที่มา : http://www.koiwatergarden.com/japan.php                         
                                                                                                                         
เอกสารอ้างอิง 
สุรศักดิ์ วงศ์กิตติเวชกุล. 2538. คู่มือการเลี้ยงปลาทองบริษัท เอม ซัพพลาย จำกัด กรุงเทพฯ
         194 หน้า.
Coffey, D. J. 1977. The Encyclopedia of Aquarium Fishes in Color. Areo Publishing
          Company, Inc., New York . 224 pp.      
Dutta,  R.  1972.  Tropical  Fish.  Mandarin  Publishers  Limited.  Hong  Kong .  176 pp.  
Frank, S. 1969. The Pictorial Encyclopedia of Fishes. Hamlyn. London. 552 pp.